วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชีวประวัติท่านนบีนุฮ์

Posted by salmanawea@gmail.com On 06:31 0 ความคิดเห็น


ท่านศาสดานุฮ์ (อ.)

         กุรอานกล่าวถึงท่านศาสดานุฮ์ (อ.)ถึง 43 ครั้ง ด้วยกัน เรื่องราวของท่านศาสดานุฮ์ (อ.)ถูกกล่าวไว้พอสังเขปในซูเราะฮ์ อะอ์รอฟ , ชุอะรออ์ , เกาะมัร แต่ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นุฮ์และฮูดอย่างละเอียด
         ท่านศาสดานุฮ์ (อ.)มีคุณลักษณะโดดเด่นมากที่สุดท่านหนึ่งในหมู่บรรดาศาสดาทั้งหลาย ความโดดเด่นอันนี้มีผลมาจากสิ่งดังกล่าวต่อไปนี้
1- ได้รับตำแหน่งศาสดา” อูลุลอัซม์ “เป็นท่านแรก ท่าน ศาสดานุฮ์ (อ.) ถือเป็นบรรพบุรุษของบรรดาศาสดาที่มีเชื้อสายต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)  เป็น
ศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่ง อูลุลอัซม์ ซึ่งได้รับบทบัญญัติจากอัลลอฮ์และมีหน้าที่เผยแผ่บทบัญญัติ
ที่ได้รับมาแก่ มนุษยชาติทั้งหลาย
         หนึ่ง ในคุณลักษณะพิเศษของท่านศาสดานุฮ์ (อ.) คือ เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่งอูลลุอัซม์ โดย ได้รับหน้าที่เผยแพร่บทบัญญัติที่ประทานจากพระเจ้าให้โดยเฉพาะ ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในกุรอานโดยถูกกล่าวไว้ในกลุ่มเดียวกับ ศาสดาอิบรอฮีม , ศาสดามูซา , อีซา อย่างเช่นในซูเราะฮ์ ชูรอ โองการที่ 13 กล่าวว่า :
         “พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นุฮ์ และที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้าก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮิม และมูซา และอีซาว่า พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น อัลลอฮ์ทรงเลือกสำหรับพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์
และในซูเราะฮ์ อะห์ซาบ โองการที่ 7 กล่าวว่า
         “และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้เอาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจากบรรดานะบีและจากเจ้า และจากนุฮ์ และอิบรอฮีม และมูซา และอิซา บุตรของ มัรยัม และเราได้เอาคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจากพวกเขา
          2- บิดาคนที่สองแห่งมนุษยชาติ
         อีก หนึ่งคุณสมบัติที่ท่านศาสดานุฮ์ (อ.)มีเหนือศาสดาท่านอื่นคือ เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากท่าน เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ซึ่งไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้เลยนอกจาก ท่านศาสดานุฮ์ (อ.)เองลูกของท่านและสาวกผู้ซื่อสัตย์บางคนเท่านั้น กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ซอฟฟาต โองการที่ 76 - 82 ว่า :
“  และเราได้ช่วยเขาและชุมชนของเขาให้พ้นจากทุกข์ภัยอันมหันต์ และเราได้ให้ลูกหลานของเขายังคงมีชีวิตเหลืออยู่ และเราได้ปล่อยทิ้งไว้ (เกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลัง ๆ ความศานติจงมีแด่นุฮ์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลายแท้จริง เขา(นุฮ์) อยู่ในปวงบ่าวของเราผู้ศรัทธา แล้วเราได้ให้พวกอื่นจมน้ำตาย
และกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ฮูด โองการที่ 40 ว่า
         “จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า ”จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน และผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย
         การ รอดชีวิตของเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ เป็นผลมาจากความจำเริญและความเมตตาที่อัลลอฮ์ (ซบ.) มอบให้แก่ท่านศาสดานุฮ์ (อ.) จากตรงนี้เองจึงถือได้ว่าท่านศาสดานุฮ์ (อ.)คือบิดาท่านที่สองของมนุษยชาติต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)
3- มีอายุในการเผยแพร่ศาสนายาวนานที่สุด
         อีก คุณสมบัติหนึ่งของท่านศาสดานูฮ์ (อ.)ที่ถูกกล่าวถึงในกุรอานก็คือท่านมีอายุไขที่ยาวนานที่สุด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อันกะบูตว่า  “และโดยแน่นอนเราได้ส่งนุฮ์ไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)
         คำ ว่าหนึ่งพันปี ยกเว็นห้าสิบปีที่มาใช้แทนคำว่า เก้าร้อยห้าสิบปีนั้นเป็นการเน้นย้ำถึงการมีอายุที่ยืนยาวนานและมีช่วงเวลา การเผยแพร่ที่ยาวนานซึ่งศาสดาท่านอื่นไม่เคยถูกกล่าวถึงในลักษณะเช่นนี้เลย
         นัก วิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นเกี่ยวกับอายุของท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ตั้งแต่การเกิดจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนั้น ตามคัมภีร์เตารอต กล่าวว่า อายุของท่านศาสดานูฮ์รวมทั้งหมด 950 ปี หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ศาสดานูฮ์ยังมีชีวิตอยู่อีกถึง350 ปีและเสียชีวิตตอนอายุ 950 ปี
         แต่หากดูตามความหมายของโองการที่กล่าวข้างต้น 950 ปีนั้นหมายถึงช่วงชีวิตที่ท่านทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่างหาก ซึ่งอายุไขของท่านจริงๆแล้วมากกว่านั้น
      คุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มชนท่านศาสดานุฮ์
ใน ตอนแรกเรากล่าวถึง คุณสมบัติของท่านศาสดานุฮ์ไปแล้ว ในตอนสองนี้เราจะขอกล่าวถึงคุณสมบัติของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮ์ได้รับ หน้าที่ไปเผยแพร่สัจธรรม กุรอานกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาไว้ดังนี้
1- เป็นพวกบูชาเจว็ด หาก พิจารณาจากกุรอานและรายงานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า ในสมัยของท่านศาสดานุฮ์การบูชารูปปั้นเป็นความเชื่อหลักของชนในสมัยนั้น พวกเขาสร้างรูปจำลองพระเจ้าขึ้นมาและนำสิ่งดังกล่าวมาบูชากราบไหว้พร้อมทั้ง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแต่กลับปฏิเสธการเรียกร้องไปสู่การมีพระเจ้าองค์ เดียวอย่างสิ้งเชิง
กุรอานกล่าวถึงกลุ่มชนดังกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นุฮ์ โองการที่ 23 ว่า : “และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้ง วัดด์ และสุวาอ์ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซร์ เป็นอันขาด
2-เป็นกลุ่มชนที่โง่เขลาและดื้อด้าน
ความ โง่เขลาและความดื้อด้านได้ฝั่งรากลึกอยู่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานุฮ์ จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับตรรกะและการเรียกร้องไปสู่สัจธรรมใดๆทั้ง สิ้น พวกเขาไม่รับฟังคำเรียกร้องไปสู่ความยุติธรรมและเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์ เลยแม้แต่น้อย กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้โดยยกคำกล่าวของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์ นุฮ์ โองการที่ 7 ว่า : “และแท้จริงทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยะโสด้วยความจองหอง ” 3-สังคมเต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสียสังคม ของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานุฮ์ใช้ชีวิตอยู่เต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อม เสียจนถึงขนาดที่ท่านศาสดานุฮ์เองไม่มีความหวังที่จะทำให้พวกเขาศรัทธาในพระ เจ้าอีกต่อไป กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์นุ ฮ์โองการที่ 26-27 ว่า : “ และนุฮ์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้า ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้พวกปฏิเสธศรัทธาหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้เลย * เพราะแท้จริง หากพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ พวกเขาก็จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขานั้นจะให้กำเนิดแต่พวกเลวทราม พวกปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น ”
4-เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจและทรัพย์สิน
กลุ่ม ชนของท่านศาสดานุฮ์เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลและเชื่อฟังผู้ที่มีอำนาจและคนที่ ร่ำรวยเพี่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครองพวกเขาใช้เล่ห์และอุบายหลอกลวงกัน เองอย่างน่ารังเกียจที่สุด กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานุฮ์ ไว้ในซูเราะฮ์นูฮ์ โองการที่ 21-22 ว่า : “นุฮ์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามิได้เพิ่มพูนอันใดแก่เขานอกจากการขาดทุน ”
5- เป็นกลุ่มชนที่มีผู้ศรัทธาอยู่น้อยมาก
ความ เสื่อมเสียและการปฏิเสธการมีพระเจ้าองค์เดียวถึงแม้จะมีให้เห็นทั่วไปใน กลุ่มชนอื่น แต่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานุฮ์เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ จนถึงขนาดที่ว่าท่านศาสดานุฮ์ใช้เวลาถึง 950 ปีในการเผยแพร่สัจธรรมแต่มีเพียง 80 คนเท่านั้น !!! ที่ตอบรับคำเรียกร้องท่านศาสดานุฮ์
มีรายงานฮะดิษจากศาสดามุฮัมมัดที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า : “ แท้จริงท่านศาสดานุฮ์ได้เผยแพร่เรียกร้องกลุ่มชนของตัวเองเป็นเวลาถึง 950 ปี และอัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาที่มีจำนวนผู้ศรัทธาน้อยมาก และท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : พวก เขาไม่ได้ศรัทธาต่อนุฮ์เลยนอกจากคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ศรัทธาต่อเขา มีคนปฏิบัติตามฉันตั้งแต่ฉันยังมีอายุน้อยจนกระทั่งฉันแก่ชรา แต่ในขณะที่ไม่มีคนศรัทธาต่อนุฮ์เลยจนกระทั่งเขาชราภาพ ”
และมีสายรายงานจากท่านอิบนิอับบาสว่า ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : “ ท่านศาสดานุฮ์นำสาวกเพียง 80 คนขึ้นเรือไปพร้อมกับท่านด้วย ”
กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 25 – 26 ว่า : “ และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูฮ์ไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) “แท้ จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่านแล้วคือพวกท่านอย่าเคารพภักดีผู้ ใดนอกจากอัลลอฮ์ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันเจ็บปวด ”

   ท่าน ศาสดานูฮ์ใช้ความพยายามทั้งกลางวันและกลางคืนในการเรียกร้องประชาชนไปสู่ อิสระภาพที่แท้จริง กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 5 ว่า : “ เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน ”
   กุรอานยังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกในซูเราะฮ์ นูฮ์ ในโอ  ครั้น แล้วข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างงการที่ 8 – 9 ว่า : “เปิดเผย อีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย ”
   ท่าน ศาสดานูฮ์ทำทุกวิถีทางในการนำเสนอสัจธรรมและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อนำพวกเขาไปสู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว ท่านกล่าวถึงคุณลักษณะอันสูงส่งของพระเจ้า กล่าวถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์โดยหวังว่าจะโน้มน้าว หัวใจของพวกเขาไปสู่ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 10 – 16 ว่า :
   “ ข้า พระองค์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่านและจะทรงทำให้มีสวน มากหลายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากหลายแก่พวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺและโดยแน่นอนพระองค์ทรง สร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้น ๆ อย่างไร และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ”
    หมดหวังในความศรัทธาของกลุ่มชน
   ท่าน ศาสดานูฮ์ไม่เคยได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในความพยามอย่างมากมาย เพื่อชี้นำมนุษย์ นอกจากการถูกกลั่นแกล้ง การข่มขู่ และการเป็นศัตรูเท่านั้น กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ชุอารออ์ โองการที่ 116 ว่า :
   “ พวกเขากล่าวว่า โอ้นูฮ์ หากท่านไม่หยุดยั้งแน่นอนท่านจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขว้างด้วยก้อนหิน ”
   ความ ดื้อรั้นของกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ ถึงขนาดที่ว่าบ่าวผู้อดทนอย่างท่านศาสดานูฮ์ ต้องร้องขอต่ออัลลอฮ์ให้ตัวเองรอดพ้นจากความเลวร้ายของกลุ่มชนนี้ กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ชุอารออ์ โองการที่117 – 118 ว่า :
   “ เขา กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงหมู่ชนของฉันปฏิเสธฉัน ดังนั้นขอพระองค์ทรงตัดสินระหว่างฉันกับพวกเขาโดยยุติธรรมเถิด และทรงโปรดช่วยฉัน และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับฉันให้รอดพ้นด้วยเถิด ”
   ท่าม กลางความเลวร้ายและการกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ ท่านมิได้ทอดทิ้งพวกเขาเลย จนกระทั่งมีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านสร้างเรือ มีคำสั่งให้สร้างเรือ
   ช่วง ชีวิตที่ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของท่านศาimages (10).jpgสดานูฮ์ คือช่วงเวลาในการสร้างเรือ เพราะช่วงนี้เองท่านถูกข่มขู่ ถูกกลั่นแกล้งแม้กระทั่งถูกทรมานอย่างรุนแรงที่สุด กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 36 – 37 ว่า :
   “ และได้มีวะฮ์ยูแก่นูฮ์ว่า “แท้ จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ และเจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย ”
   หลัง จากได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้สร้างเรือ ท่านได้เริ่มสร้างเรืออย่างมุ่งมั่น แต่พื้นที่ที่ท่านศาสดานูฮ์อาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายห่างไกลจาก แม่น้ำและทะเล ด้วยเหตุนี้เองการสร้างเรือในสภาพที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเรื่องน่าแปลก สำหรับกลุ่มชนของท่านอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านและเห็นท่านศาสดากำลังสร้างเรือ พวกเขาจะเยาะเย้ย และกลั่นแกล้งเป็นประจำ
   กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 38 ว่า : “ และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของเขาเดินผ่านเขา(นูฮ์) พวกเขาก็เยาะเย้ย เขาก็จะกล่าวว่าหากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย ”
   จาก อายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ว่า พวกมีอำนาจในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ จะคอยกลั่นแกล้งท่านและสาวกของท่านอยู่ตลอดเวลา ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นท่านศาสดานูฮ์ จะกล่าวเย้ยหยันท่าน บางคนกล่าวว่า “ โอ้นูฮ์ นอกจากเจ้าจะเป็นศาสดาแล้วยังเป็นช่างไม้ด้วยนะ ” หรือบางคนกล่าวว่า  “ สร้างเรือบนบกแบบนี้ เจ้าจะใช้มันเมื่อไหร่กัน ”
   กุรอานกล่าวถึงคำตอบท่านศาสดานูฮ์ ที่กล่าวตอบแก่พวกเขาไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่39 ว่า :
   “ แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษยาวนานจะประสบแก่เขา ”
   อย่าง ไรก็ตามท่านศาสดานูฮ์ได้สร้างเรือตามคำสั่งของอัลลอฮ์จนเสร็จ หลังจากนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ท่านศาสดานูฮ์รอคำสั่งจากอัลลอฮ์อีกครั้งเพื่อ ให้พระองค์ทรงทำให้เกิดพายุและน้ำท่วมเหตุการณ์ น้ำท่วมโลกเป็นช่วงสุดท้ายของการรอคอยของท่านศาสดานูฮ์ เป็นช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ถึงความอ่อนแอของบรรดาเจว็ดและพวกบูชาเจว็ดทั้ง หลายรวมทั้งเป็นการพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ (ซบ.)
หลัง จากที่ท่านศาสดานูฮ์ ได้เห็นสัญญานต่าง ๆ ที่แสดงถึงการเกิดน้ำท่วมโลก ท่านได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้นำสัตว์ทั้งหลายขึ้นเรือ ท่านศาสดานูฮ์ได้นำสัตว์แต่ละชนิดขึ้นเรือเป็นคู่ ๆ พร้อมทั้งบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมด( ยกเว้นภรรยาและบุตรชายของท่านเอง ) โดยก้าวขึ้นเรือด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์และหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ในความเมตตาของพระองค์กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 40 – 41 ว่า - จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาและบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า “ จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆและครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อนและผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อยและเขากล่าวว่า “พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ ”
   หลัง จากที่ท่านศาสดานูฮ์และบรรดาสาวกผู้ศรัทธาขึ้นเรือแล้ว มีคำสั่งจากฟากฟ้าให้ลงโทษกลุ่มชนผู้ปฎิเสธ เมื่อนั้นเองท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆฝน ฝนเม็ดใหญ่เทลงมาเสมือนกับว่าประตูแห่งท้องฟ้าได้เปิดออก อีกด้านหนึ่งเกิดตาน้ำที่มีน้ำพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงไปทั่วผืนแผ่นดิน หลัง จากนั้นไม่นานเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลุ่มชนผู้ปฏิเสธอย่างรุนแรง  จนกระทั่งบรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังที่จะมีชิวิตรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้
กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 42 – 43 ว่า - และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา และนูฮ์ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว “ โอ้ลูกของฉันเอ๋ย ! จงมาขึ้นเรือมากับเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย ” เขา(ลูกชาย) กล่าวว่า “ฉัน
จะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้ ”เขา(นูฮ์) กล่าวว่า “ ไม่มีผู้ใดคุ้มครอง (เจ้าได้) ในวันนี้ (ให้พ้น) จากพระบัญชาของอัลลอฮ์เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา ” และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา(ลูกชาย) ได้อยู่ในหมู่ของผู้จมน้ำตายหลัง จากเหตุการณ์สงบลง เรือของท่านศาสดานูฮ์มาหยุดอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง สัญญาของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว สัญญาที่พระองค์จะทำให้บรรดาผู้ศรัทธาได้รับชัยชนะและทำลายพวกบูชาเจว็ดทั้ง หลาย ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกกำลังจะเกิดขึ้น ทุกสิ่งกำลังถูกตระเตรียมให้ไปสู่การศรัทธาและความบริสุทธิ์ กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด อายะฮ์ที่ 44 – 48 ว่า “แผ่นดินเอ๋ย! จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ย ! จงหยุด” และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ยอดเขา และได้มีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด” และนูฮ์ได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์เท่านั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่งในหมู่ผู้ตัดสินพระองค์ทรงตรัสว่า
โอ้นูฮ์เอ๋ย ! แท้ จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ของผู้ขาดทุน ได้มีเสียงกล่าวว่า  โอ้นุห์เอ๋ย ! จงลงไป(จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น