นบีอีซา
นะบีสุดท้ายก่อนท่านนะบีมุฮัมมัด คือ ท่านนะบีอีซา
บรรดานะบีและร่อซูลทั้งหมดมาประกาศเทศนาให้อีมานต่ออัลลอฮฺ
ด้วยถ้อยคำอันชัดเจนว่ามีนะบีในยุคสุดท้ายที่จะมาคือ ท่านนะบีมุฮัมมัด ท่านนะบีอีซาเป็นบุคคลหนึ่งในเผ่าตระกูลของบะนีอิสรออีล[4] ท่านเกิดที่เมืองฟิลิสฏีน ประกาศเทศนาเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ
ด้วยการยืนยันว่าท่านยึดในศาสนาดั้งเดิมของบะนีอิสรออีล ซึ่งคือศาสนาของท่านนะบีมูซา
แต่ท่านนะบีอีซามีหน้าที่ในการปรับบทบัญญัติบางส่วนที่มีอยู่ในอัตเตารอต
โดยนำอัลอินญีลเป็นคัมภีร์ใหม่สำหรับบะนีอิสรออีล
พวกยิวส่วนมากไม่ยอมรับท่านนะบีอีซา
ได้ประกาศการปฏิเสธว่าท่านเป็นนะบีของชาวบะนีอิสรออีล และกลับไปวางแผนเพื่อฆ่าและร่วมมือกันต่อต้านนะบีใหม่ที่มายังบะนีอิสรออีล
ตอนนั้นบะนีอิสรออีลอยู่กับท่านนะบีอีซาที่เมืองฟิลิสฏีนซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน[5] ซึ่งในยุคนั้นเป็นประเทศไร้ศาสนา
มีการบูชารูปเจว็ดซึ่งนำมาจากวัฒนธรรมกรีก นี่คือสภาพก่อนยุคท่านนะบีอีซา
เมื่อถึงยุคท่านนะบีอีซา
ท่านได้เทศนาสู่อีมานอันเที่ยงธรรมเหมือนบรรดานะบีทั้งหลาย ยิวและโรมันไม่พอใจ
พวกยิวด่าและประณามท่านนะบีอีซา แต่ท่านก็ยืนยันในคำบัญชาของอัลลอฮฺที่ต้องเผยแผ่ศาสนา
เมื่อพวกยิวไม่ประสบความสำเร็จจึงไปร่วมมือกับโรมัน
ชาวยิวซึ่งเป็นเผ่าตระกูลของนะบีอีซาประท้วงและทำทุกวิถีทางเพื่อให้นะบีอีซาพ้นจากชีวิตพวกเขา
กษัตริย์โรมันจึงมีคำสั่งให้ฆ่าท่านนะบีอีซาแล้วตรึงบนไม้กางเขน
เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2547 มีหนังเรื่องหนึ่งที่ประเทศอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บปวดของพระเยซู
เสนอภาพความลำบากของพระเยซูในยุคสุดท้ายก่อนที่ะถูกตรึงบนไม้กางเขน
โดยเนื้อหาในหนังบ่งชี้ถึงชาวยิวที่มีอิทธิพลบังคับให้กษัตริย์โรมันสั่งให้ประหารชีวิตท่านนะบีอีซา
พวกบาทหลวงยิวโวยวาย สันตะปาปา[6] เมื่อถูกถามถึงทัศนะต่อหนังเรื่องนี้จึงบอกว่า
สันตะปาปาไม่ใช่นักวิเคราะห์ ไม่ยอมตอบ เพราะในไบเบิลที่เขาสอนชาวคริสต์มีระบุว่าคนที่วางอุบายฆ่าท่านนะบีอีซาคือชาวยิว
ในบรรดายิวที่นำไปก็เป็นลูกศิษย์นะบีอีซาชื่อ ยาฮูซา มีระบุในไบเบิล
แต่บัดนี้พวกคริสต์ไม่กล้าเผชิญกับชาวยิว และสันตะปาปาคนนี้เคยประกาศเมื่อประมาณ 4 ปีกว่าว่า ในทัศนะของนิกายคาทอลิกปัจจุบันนี้
ไม่เห็นด้วยกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวหาชาวยิวว่ามีบทบาทในการประหารชีวิตพระเยซู
และขออภัยชาวยิวในการที่ชาวคริสต์เคยกล่าวหาชาวยิวตลอดอดีตที่ผ่านมา
และขอโทษที่ชาวคริสต์ได้อธรรมชาวยิวสืบเนื่องจากข้อกล่าวหานี้
หนังเรื่องนี้กำลังมีปัญหาว่าจะฉายหรือไม่
แต่เขาอ้างว่าผู้กำกับจะรับผิดชอบเนื้อหาของหนังเอง
ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่มาจากตำรับตำรา แม้กระทั่งไบเบิลทีถูกบิดเบือน
เนื้อหาที่ยืนยันว่าบุคคลที่มีบทบาทฆ่าท่านนะบีอีซาคือยิว
ในทัศนะของชาวยิวบอกว่าเราไม่ได้ฆ่า เราไม่เกี่ยว ทำไม่รู้ไม่ชี้มาทุกยุค
แต่ชาวคริสต์มีทัศนะที่บอกว่ามีการวางอุบายของชาวยิวร่วมมือกับกษัตริย์โรมัน
ผลสุดท้ายนะบีอีซาถูกจับ ถูกขังช่วงหนึ่ง แล้วถูกฆ่าตรึงบนไม้กางเขน และถูกฝัง
หลังจากฝังไปแล้ว 3 วัน[7] ท่านนะบีอีซาก็ฟื้นคืนชีพและขึ้นบนชั้นฟ้า นั่นคือทัศนะของคริสต์
แต่ของมุสลิมเชื่อว่าท่านนะบีอีซาไม่ได้ถูกฆ่า เพราะอัลลอฮฺบอกว่า
وَمَا قَتَلُوهُ وَمَا صَلَبُوهُ وَلَـكِن شُبِّهَ لَهُمْ
“และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา และหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขาถูกให้เหมือนแก่พวกเขา” [อันนิซาอฺ 4:157]
ชาวมุสลิมเชื่อว่าท่านนะบีอีซาไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นอันขาด
แต่เป็นภาพลวงที่เกิดขึ้นสำหรับชาวยิว
เพราะยาฮูซาซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านนะบีอีซาอกตัญญู ไปบอกที่อยู่ของท่านนะบีอีซา
ขณะที่ท่านหลบหนีจากยิวและโรมัน จึงมีตำรวจมาจะจับท่านนะบีอีซา
ปรากฏว่าอัลลอฮฺทำให้หน้าตาและร่างกายของลูกศิษย์ท่านคนนี้ให้เหมือนท่านนะบีอีซา
ตำรวจจึงจับยาฮูซาไปโดยเชื่อว่าเป็นนะบีอีซา
แล้วนำไปประหารชีวิตและตรึงบนไม้กางเขน นี่คือทัศนะของชาวมุสลิม
หลังจากนั้นท่านนะบีอีซาไปไหน? ตรงนี้ชาวมุสลิมมีทัศนะเหมือนชาวคริสต์ว่าท่านนะบีอีซาถูกยกขึ้นไปบนชั้นฟ้า
ในอัลกุรอาน
بَل رَّفَعَهُ اللّهُ إِلَيْهِ
“หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขา (อีซา) ขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก” [อันนิซาอฺ 4:158]
แต่ก่อนที่อัลลอฮฺจะยกท่านนะบีอีซาขึ้นไป นะบีอีซาตายหรือไม่? ท่านอิหม่ามอิบนิกะซีรบอกว่ามี 2 ทัศนะ
ทัศนะที่มีน้ำหนักมากกว่าสำหรับชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺคือ
ท่านนะบีอีซาไม่ตาย
และอีกทัศนะหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์อิสลามเห็นว่าท่านนะบีอีซาเสียชีวิตก่อนถูกยกขึ้นชั้นฟ้า
ทัศนะนี้มาจากความสับสนเกี่ยวกับคำศัพท์ในอัลกุรอาน
ในซูเราะฮฺอาละอิมรอน อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
إِلَيَّ إِذْ قَالَ اللّهُ يَا عِيسَى إِنِّي مُتَوَفِّيكَ وَرَافِعُكَ
“จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺตรัสว่า โอ้อีซา
ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า[8] และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้า” [อาละอิมรอน 3:55]
มีนิกายหนึ่งนอกกรอบศาสนา ชื่อนิกายก็อดยานียะฮฺ
มีความเชื่อว่าผู้นำของเขา มิรซา ฆุลาม อะหฺมัด เป็นมะซีหฺหรือพระเยซู
และได้รับพระอนุญาตจากอัลลอฮฺให้เป็นบุคคลที่รับมรดกของท่านนะบีอีซา
หากท่านนะบีอีซาไม่ตาย เขาจะเป็นอีซาไม่ได้
เขาจึงต้องแต่งประวัติศาสตร์ว่าท่านนะบีอีซาตายแล้วถูกฝังที่แคชเมียร์และผู้รับมรดกก็อยู่ใกล้ประเทศอินเดีย
ลัทธิก็อดยานียฺอยู่แถวนั้น
เมื่อมีนักวิชาการที่ศึกษาประวัติของก็อดยานียฺและเห็นว่าพวกก็อดยานียฺเชื่อว่าท่านนะบีอีซาตาย
จึงฟันธงว่าถ้าใครเชื่อว่าท่านนะบีอีซาตาย คนนั้นเป็นก็อดยานียฺ
แต่เรื่องของหลักการศาสนามั่วไม่ได้ ถ้าเชื่อว่านะบีอีซาตายและถูกฝังที่อินเดีย
โดยมี มิรซา มุลลา อะหฺมัด รับมรดก อันนี้ก็อดยานียฺ แต่ถ้าเชื่อว่าตายแล้วถูกยกและไม่มีใครรับมรดก
อันนี้ไม่ใช่ก็อดยานียฺ ต้องฟังด้วยสติปัญญาและพินิจพิจารณาอย่างผู้มีความรู้
หลังจากที่ท่านนะบีอีซาถูกยกไปแล้ว
มียุคหนึ่งชาวคริสต์ลูกศิษย์ท่านนะบีอีซารู้ว่านะบีอีซาไม่ได้ตายและไม่ได้ถูกตรึง
รู้กันดี แต่การที่ท่านนะบีอีซาหายไปเฉย ๆ สร้างความสับสนให้ชาวบ้าน
คัมภีร์อินญีลที่มีคำสั่งสอนของท่านนะบีก็ยังมีอยู่กับลูกศิษย์ของท่านนะบีอีซา
ก็สอนชาวบ้านกัน
แต่เนื่องจากมีชาวยิวคนหนึ่งที่เข้าศาสนาคริสต์โดยมีเจตนารมณ์บิดเบือนหลักความเชื่อของชาวคริสต์
บิดเบือนว่าท่านนะบีอีซาถูกตรึงและเสียชีวิตจริง ๆ
โดยมีเหตุผลเพื่อลบล้างความผิดของมนุษยชาติ[9]
มุสลิมจึงมาตอบโต้ว่า ถ้าพระบิดาเห็นพระบุตรถูกตบ ถูกฆ่า
ถูกตรึงบนไม้กางเขน แล้วยังเฉยอยู่ ใช้ไม่ได้ เชื่อได้เลยว่าชัยฏอนประสบความสำเร็จในการทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งหลงจากทางของอัลลอฮฺ
อิบลีสเคยพูดว่า
لَأُغْوِيَنَّهُمْ أَجْمَعِينَ قَالَ فَبِعِزَّتِكَ
“มันกล่าวว่า ดังนั้นด้วยพระอำนาจของพระองค์ท่าน
แน่นอนข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด” [ศอด 38:82]
จนปัจจุบันนี้ ชาวคริสต์ที่มีการศึกษาสูง
แต่ยังเชื่อในข้อมูลที่ไม่มีที่มา แต่คนที่มีสติปัญญา
ย่อมจะปฏิเสธข้อมูลที่ไม่กินกับปัญญา ถ้าไปถามชาวคริสต์ว่าเชื่อในอัลลอฮฺอย่างไร
เขาจะตอบว่า สามในหนึ่ง หนึ่งในสาม ชาวคริสต์เขาจะสอนวิชาเลข 1+1+1=3 แต่วิชาศรัทธาเขาจะสอนว่า 1+1+1=1 หมายถึง
พระบิดา พระบุตร พระจิต สามพระเจ้ารวมเป็นพระเจ้าเดียว
และพระเจ้าเดียวแตกเป็นสามพระเจ้า พวกบาทหลวงคริสต์ถูกถามจากมุสลิมว่า
สอนให้ฉันเข้าใจหน่อยว่า สามเป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นสาม เป็นไปได้ยังไง เขาไม่มีคำตอบ
แม้กระทั่งชาวคริสต์ที่ไปถามพวกบาทหลวง เขาก็ตอบว่าเรื่องนี้ได้เพียงแต่ศรัทธา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น